Tuesday, March 14, 2006
สภา นสพ.-ทนายความ สุดทน “แม้ว” - ปลุกกระแสทวงสมบัติชาติ
สองสภาการวิชาชีพ “หนังสือพิมพ์-ทนายความ” จับมือออกสมุดปกขาวฟ้องประชาชนทั่วประเทศ ระบุ “ทักษิณ” สิ้นความสง่างามหมดความชอบธรรม ถล่มตระกูลชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายหุ้นชินฯ ไม่เสียภาษี หวั่นกระทบความมั่นคงและละเมิดสิทธิชาวไทย พร้อมปลุกกระแสคนไทยทวงสมบัติชาติคืนมา
วันที่ (20 ก.พ.) เวลา 17.30 น. นายพงศักดิ์ พยัฆวิเชียร ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ร่วมกันแถลงการณ์และออกสมุดปกขาวของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติและสภาทนายคว าม เรื่อง “การทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์กรณีของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีการแปลความให้ขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีที่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคงของชาติ” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ในหนังสือปกขาวดังกล่าวระบุว่า 1.นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติต้องรู้ดีว่าสถานที่ซึ่งประกอบไปด้วยสถาน ีวิทยุ หรือโทรเลข หรือสถานีส่ง หรือรับอาณัติสัญญาณ ดังกล่าวสถานีและผังของสถานีภาคพื้นดินของระบบดาวเทียมและคลื่นดาวเทียมนั้น เป็นความลับของชาติ ซึ่งไม่อาจเปิดเผยให้กับตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศ ดังนั้น การที่ครอบครัวของนายกรัฐมนตรี ได้ยอมให้มีการขายหุ้นและให้ตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศเข้ามาทำการตรวจสอบรา ยละเอียดถึงทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทในเครือทั้งหมด ซึ่งต้องได้รู้ถึงสภาพของสถานะของทรัพย์สินเช่นว่านั้น เท่ากับว่า มีการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 124 ในการเปิดเผยความลับให้กับหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศ มีผลทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่า งและดำเนินคดีกับตัวการผู้สนับสนุนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายหุ้นขอ งบริษัท ชินคอร์ป
2.จากรายละเอียดที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับการขายหุ้น และเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์กรณีตามข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะพิเคราะห์ในตอนซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร หรือตอนขายหุ้นนั้นทั้ง 2 กรณี มีความรับผิดในทางภาษีอากรทั้งสิ้น เพราะถือว่าบริษัท แอมเพิล ริช มีภูมิลำเนา เพื่อการเสียภาษีในประเทศไทย เนื่องจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา เป็นกรรมการตัวแทนของบริษัทในประเทศไทย การที่ผู้แทนหน่วยราชการมีหน้าที่จัดเก็บภาษี มาชี้แจงแทนผู้เสียภาษี ย่อมถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่ถูกต้อง เพราะควรที่จะตรวจสอบให้มีความแน่ชัดและประเมินภาษีอากรกับผู้ที่ต้องเสียภา ษีอากร
3.การร่วมลงทุนของกลุ่มบริษัทในเครือญาติของนายกรัฐมนตรี และสายการบินแอร์เอเชีย นั้นเป็นการร่วมลงทุนกับนิติบุคคลสัญชาติ “ลาบวน” ซึ่งเป็นเขตพิเศษที่รัฐบาลมาเลเซีย ให้เป็นเขตปลอดภาษีอากร ทำนองเดียวกันกับที่นายกรัฐมนตรีได้ไปจดทะเบียนก่อตั้ง บ.แอมเพิล ริช ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษีของรัฐบาลอังกฤษ นายกรัฐมนตรีเองได้เคยกล่าวเรื่องนี้ว่าใครที่ไปจัดตั้งบริษัทบนเกาะต้องถือ ว่าเป็นคนไม่รักชาติ แต่นายกรัฐมนตรีทราบดีอยู่แล้วว่าตนเองก็ตั้งบริษัท แอมเพิล ริช ตั้งแต่ปี 2542 ในขณะเดียวกัน ก็ร่วมลงทุนกับบริษัทสายการบินซึ่งมีภูมิลำเนาและสัญชาติอยู่บนเกาะลาบวน ทำกิจการปลอดภาษี ความสง่างามของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง
4.กรณีที่ได้มีการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัดมหาชน การออก พ.ร.ก.แก้ไข้เพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 และกรณีแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมฉบับที่ 2 ทั้ง 3 กรณีนี้เป็นการลดคุณค่าทางทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจลงอย่างเห็นได้ชัดโดยลดสถ านะของความเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีศักดิ์ศรีในด้านของการให้สัมปทานเหนือกว่าบร ิษัทธรรมดา และต่อมาให้รัฐวิสาหกิจเสียภาษีในทำนองเดียวกับบริษัทผู้รับสัมปทาน รวมทั้งการขยายฐานการถือหุ้นของคนต่างด้าวจาก 25% เป็น 49% เป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับบริษัททั้งสิ้น
นายพงศักดิ์ พยัฆวิเชียร ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุด้วยว่า สมุดปกขาวดังกล่าวจะพิมพ์ทั้งสิ้น 6 หมื่นฉบับ แจกจ่ายไปให้ประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากขณะนี้ความสง่างามของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะในฐานะของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยและเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทางสภาการหนังสือพิมพ์ฯและสภาทนายความเห็นว่าได้หมดสิ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ตัดสินใจขายกิจการทั้งหมดให้กับต่างชาติ ซึ่งเป็นคู่แข่งด้านการสื่อสาร รัฐบาลสิงคโปร์เคยไปขอร่วมลงทุนกับหน่วยงานซึ่งเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมใ นประเทศอื่นๆ มาแล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มาสำเร็จในการเข้าครอบงำในประเทศไทยได้ถึง 49%
“สภาการหนังสือพิมพ์ฯ และสภาทนายความ เห็นว่า ธุรกรรมการซื้อและขายหุ้นดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายชัดเจน ถือว่ามีผลทำให้นิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะเป็นการทำให้สูญเสียอธิปไตย ผมขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์และทรัพยากรขอ งชาติไว้ให้เป็นของคนไทยทั้งหมด”
ประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯ กล่าวด้วยว่า ขอเรียกร้องให้ผู้อำนวยการและผู้มีอำนาจของบริษัทที่แปรสภาพทุกบริษัทบอกเลิ กสัญญาโทรคมนาคม เนื่องจากการโอนหุ้นให้รัฐบาลสิงคโปร์ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับการเ ปิดเผยความลับของชาติ ขอให้ผู้มีอำนาจในบริษัทที่แปรสภาพรายงานผลกระทบจากการเข้ามาซื้อหุ้นไปยังผ ู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายต่อไปโดยทันที และนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีต้องมีมติยกเลิกสัญญาดังกล่าวโดยทันทีไม่มีเงื่อนไข
“ในเรื่องของการสื่อสารเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากสำหรับประเทศที่มีขน าดเล็ก เช่น สิงคโปร์ เมื่อเขามีสิทธิได้รับโอกาสนี้เขาจะไขว่คว้าให้ประเทศมีศักยภาพมากขึ้น โดยการรับซื้อจากรัฐบาลไทย สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดำเ นินการต่อไป ต้องพิจารณาหาหลักฐานและรวบรวมข้อมูล”
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวเสริมว่า ตนได้ทำหน้าที่ของผู้ถือกฎหมายโดยการเปิดเผยข้อมูลสมุดปกขาว และตนจะทำทุกอย่างให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะถือว่าถ้าสิ้นสุดการดำเนินการในครั้งนี้แล้วผลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อ ส่วนรวม ไม่เกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ตนได้รับมาได้มาจากการกลั่นกรองข้อเท็จจริงแล้วทั้งสิ้น
“ผมอยากเรียกร้องความเป็นสันติสุขคืนมาให้กับประเทศ วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรี ความชอบธรรมนี้น่าเคลือบแคลงสงสัยและมีหลักฐานเพิ่มเติมมากขึ้น”
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์
วันที่ (20 ก.พ.) เวลา 17.30 น. นายพงศักดิ์ พยัฆวิเชียร ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ร่วมกันแถลงการณ์และออกสมุดปกขาวของสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติและสภาทนายคว าม เรื่อง “การทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์กรณีของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีการแปลความให้ขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีที่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคงของชาติ” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ในหนังสือปกขาวดังกล่าวระบุว่า 1.นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติต้องรู้ดีว่าสถานที่ซึ่งประกอบไปด้วยสถาน ีวิทยุ หรือโทรเลข หรือสถานีส่ง หรือรับอาณัติสัญญาณ ดังกล่าวสถานีและผังของสถานีภาคพื้นดินของระบบดาวเทียมและคลื่นดาวเทียมนั้น เป็นความลับของชาติ ซึ่งไม่อาจเปิดเผยให้กับตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศ ดังนั้น การที่ครอบครัวของนายกรัฐมนตรี ได้ยอมให้มีการขายหุ้นและให้ตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศเข้ามาทำการตรวจสอบรา ยละเอียดถึงทรัพย์สินและหนี้สินของบริษัทในเครือทั้งหมด ซึ่งต้องได้รู้ถึงสภาพของสถานะของทรัพย์สินเช่นว่านั้น เท่ากับว่า มีการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 124 ในการเปิดเผยความลับให้กับหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศ มีผลทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่า งและดำเนินคดีกับตัวการผู้สนับสนุนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายหุ้นขอ งบริษัท ชินคอร์ป
2.จากรายละเอียดที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับการขายหุ้น และเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์กรณีตามข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะพิเคราะห์ในตอนซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร หรือตอนขายหุ้นนั้นทั้ง 2 กรณี มีความรับผิดในทางภาษีอากรทั้งสิ้น เพราะถือว่าบริษัท แอมเพิล ริช มีภูมิลำเนา เพื่อการเสียภาษีในประเทศไทย เนื่องจากนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา เป็นกรรมการตัวแทนของบริษัทในประเทศไทย การที่ผู้แทนหน่วยราชการมีหน้าที่จัดเก็บภาษี มาชี้แจงแทนผู้เสียภาษี ย่อมถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่ถูกต้อง เพราะควรที่จะตรวจสอบให้มีความแน่ชัดและประเมินภาษีอากรกับผู้ที่ต้องเสียภา ษีอากร
3.การร่วมลงทุนของกลุ่มบริษัทในเครือญาติของนายกรัฐมนตรี และสายการบินแอร์เอเชีย นั้นเป็นการร่วมลงทุนกับนิติบุคคลสัญชาติ “ลาบวน” ซึ่งเป็นเขตพิเศษที่รัฐบาลมาเลเซีย ให้เป็นเขตปลอดภาษีอากร ทำนองเดียวกันกับที่นายกรัฐมนตรีได้ไปจดทะเบียนก่อตั้ง บ.แอมเพิล ริช ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษีของรัฐบาลอังกฤษ นายกรัฐมนตรีเองได้เคยกล่าวเรื่องนี้ว่าใครที่ไปจัดตั้งบริษัทบนเกาะต้องถือ ว่าเป็นคนไม่รักชาติ แต่นายกรัฐมนตรีทราบดีอยู่แล้วว่าตนเองก็ตั้งบริษัท แอมเพิล ริช ตั้งแต่ปี 2542 ในขณะเดียวกัน ก็ร่วมลงทุนกับบริษัทสายการบินซึ่งมีภูมิลำเนาและสัญชาติอยู่บนเกาะลาบวน ทำกิจการปลอดภาษี ความสง่างามของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง
4.กรณีที่ได้มีการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัดมหาชน การออก พ.ร.ก.แก้ไข้เพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 และกรณีแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมฉบับที่ 2 ทั้ง 3 กรณีนี้เป็นการลดคุณค่าทางทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจลงอย่างเห็นได้ชัดโดยลดสถ านะของความเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีศักดิ์ศรีในด้านของการให้สัมปทานเหนือกว่าบร ิษัทธรรมดา และต่อมาให้รัฐวิสาหกิจเสียภาษีในทำนองเดียวกับบริษัทผู้รับสัมปทาน รวมทั้งการขยายฐานการถือหุ้นของคนต่างด้าวจาก 25% เป็น 49% เป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับบริษัททั้งสิ้น
นายพงศักดิ์ พยัฆวิเชียร ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ระบุด้วยว่า สมุดปกขาวดังกล่าวจะพิมพ์ทั้งสิ้น 6 หมื่นฉบับ แจกจ่ายไปให้ประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากขณะนี้ความสง่างามของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะในฐานะของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยและเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทางสภาการหนังสือพิมพ์ฯและสภาทนายความเห็นว่าได้หมดสิ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ตัดสินใจขายกิจการทั้งหมดให้กับต่างชาติ ซึ่งเป็นคู่แข่งด้านการสื่อสาร รัฐบาลสิงคโปร์เคยไปขอร่วมลงทุนกับหน่วยงานซึ่งเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมใ นประเทศอื่นๆ มาแล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มาสำเร็จในการเข้าครอบงำในประเทศไทยได้ถึง 49%
“สภาการหนังสือพิมพ์ฯ และสภาทนายความ เห็นว่า ธุรกรรมการซื้อและขายหุ้นดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายชัดเจน ถือว่ามีผลทำให้นิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะเป็นการทำให้สูญเสียอธิปไตย ผมขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์และทรัพยากรขอ งชาติไว้ให้เป็นของคนไทยทั้งหมด”
ประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯ กล่าวด้วยว่า ขอเรียกร้องให้ผู้อำนวยการและผู้มีอำนาจของบริษัทที่แปรสภาพทุกบริษัทบอกเลิ กสัญญาโทรคมนาคม เนื่องจากการโอนหุ้นให้รัฐบาลสิงคโปร์ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับการเ ปิดเผยความลับของชาติ ขอให้ผู้มีอำนาจในบริษัทที่แปรสภาพรายงานผลกระทบจากการเข้ามาซื้อหุ้นไปยังผ ู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายต่อไปโดยทันที และนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีต้องมีมติยกเลิกสัญญาดังกล่าวโดยทันทีไม่มีเงื่อนไข
“ในเรื่องของการสื่อสารเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากสำหรับประเทศที่มีขน าดเล็ก เช่น สิงคโปร์ เมื่อเขามีสิทธิได้รับโอกาสนี้เขาจะไขว่คว้าให้ประเทศมีศักยภาพมากขึ้น โดยการรับซื้อจากรัฐบาลไทย สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องดำเ นินการต่อไป ต้องพิจารณาหาหลักฐานและรวบรวมข้อมูล”
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวเสริมว่า ตนได้ทำหน้าที่ของผู้ถือกฎหมายโดยการเปิดเผยข้อมูลสมุดปกขาว และตนจะทำทุกอย่างให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะถือว่าถ้าสิ้นสุดการดำเนินการในครั้งนี้แล้วผลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อ ส่วนรวม ไม่เกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ตนได้รับมาได้มาจากการกลั่นกรองข้อเท็จจริงแล้วทั้งสิ้น
“ผมอยากเรียกร้องความเป็นสันติสุขคืนมาให้กับประเทศ วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความชอบธรรมในการเป็นนายกรัฐมนตรี ความชอบธรรมนี้น่าเคลือบแคลงสงสัยและมีหลักฐานเพิ่มเติมมากขึ้น”
ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์