Saturday, April 15, 2006

 

บาป4ข้อจาก คดี กฟผ.


คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งปร ะเทศไทย (กฟผ.) พ.ศ. 2548 จนทำให้กระบวนการแปรรูป กฟผ.ต้องล้มเลิกไป ได้ทำให้สังคมรับรู้ข้อเท็จจริงและได้ประโยชน์หลายประการ

ประการแรก เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยละเลยและเพิกเฉยต่อสิ่งที่เรียกว่า ผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of interests) เพราะมีการแต่งตั้งบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสีย (นายโอฬาร ไชยประวัติ) ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทชินคอร์ป (ทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมเช่นเดียวกับบริษัท กฟผ.) และกรรมการบริษัท ปตท. (ขายก๊าซให้แก่ กฟผ.) เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเตรียมการจัดตั้งบริษัท กฟผ.ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ 2542

ประการที่สอง มีการวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานที่มีผลในทางกฎหมายว่าตำแหน่ง "กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี" เป็น "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ซึ่งทำให้การแต่งตั้งนายปริญญา นุตาลัย กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่ชอบด้วยกฎหมายเ นื่องจากระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจระบุชัดว่า ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นประธานและกรรมการชุดดังกล่าว

ถ้ายึดตามแนวการวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดน่าจะส่งผลกระทบต่อกรรมการผู้ช่วยร ัฐมนตรีหลายคนที่เป็นประธานกรรมการของหน่วยงานของรัฐบางแห่งหรือรัฐวิสาหกิจ หลายแห่งที่มีข้อห้ามข้าราชการการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นกรรมการโดยเฉพาะองค์การมหาชนที่การตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งต้องอาศัยอำน าจตาม พ.ร.บ.องค์การมหาชน พ.ศ. 2542 นั้นบัญญัติไว้ในมาตรา 20(6)ว่าประธานกรรมการและกรรมการองค์การมหาชนซึ่งมิใช่ประธานกรรมการโดยตำแห น่ง ต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง...

เท่าที่ทราบรัฐบาลพรรค ไทยรักไทยได้แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีไปเป็นประธานกรรมการและกรรมการอ งค์การมหาชนเหล่านี้หลายแห่งซึ่งเห็นชัดว่า ไม่ไยดีต่อตัวบทกฎหมาย

อาจมีผู้โต้แย้งว่า รัฐบาลอาจเข้าใจผิดหรือเห็นว่ากรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีไม่ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งท างการเมือง การกล่าวหาเช่นนี้จึงรุนแรงเกินไปเพราะศาลปกครองสูงสุดเพิ่งมีคำพิพากษาเรื่ อง กฟผ.เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549

ข้อเท็จจริงที่ผู้คนทั่วไปไม่ทรา บคือ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เคยมีหนังสือ (ที่ นร 0503/11082) ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2546 หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาถึงฐานะและการดำรงตำแหน่งของผู้ช่วยรัฐมนตรีเลขาธิกา รคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบข้อหาหารือ (เรื่องเสร็จที่ 139/2547) ชัดเจนว่า ผู้ช่วยรัฐมนตรีอยู่ในความหมายของคำว่า "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง"

ผู้ที่สั่งให้ส่งเรื่องหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาคือ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

แต่ทำไมนายวิษณุ จึงปล่อยให้มีการแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีไปดำรงตำแหน่งต่างๆมากมายในลักษณะที่ขัดต่อกฎหมาย

นี่ยังไม่รวมถึง "ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" อื่นๆ เช่น ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ประธานที่ปรึกษานโยบายนายกรัฐมนตรี

ประการที่สาม ทำให้เห็นว่าการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของภาคประชาชนทั้งในทางสังคมและกฎหมาย มีผลอย่างเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังซึ่ง ภาคประชาชนสามารถนำเอาไปเป็นบทเรียนไปตรวจการสอบการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่น เช่น ปตท.ว่ามีการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือไม่ อย่างไร

ประการที่สี่ ทำให้สาธารณชนรู้ว่าการที่รัฐบาลลักไก่เอาที่ดินที่ได้จากการเวนคืนตามกฎหมา ยก่อนมีการแปรรูปไปยกให้แก่รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งในรูปบริษัทในภายหลัง เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าด้วยการเวนคืนที่ดินซึ่งเป็นอำนาจมหาชนอันเป็นเหตุผลสำคัญที่ศาลปกครองสู งสุดพิพากษาว่า พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะที่ดินที่ได้จากการเวนคืนจะโอนไปให้บริษัทซึ่งเป็นเอกชนได้ต้องทำโดยพร ะราชบัญญัติเท่านั้น ไม่สามารถตราเป็นพระราชกฤษฎีกาได้

ถ้ายึดตามแนว คำพิพากษาดังกล่าวอาจทำให้พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพราะก่อนที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจะแปรสภาพเป็นบริษัทนั้น มีการเวนคืนที่ดินไปเป็นจำนวนมากเพื่อวางท่อก๊าซ แต่มีการโอนที่ดินที่เวนคืนให้เป็นทรัพย์สินของบริษัท ปตท.หลังจากแปรสภาพแล้ว

ถ้ามีการนำเรื่องดังกล่าวฟ้องต่อศาลปกครองสู งสุดอีก แม้อาจไม่ถึงขึ้นยกเลิกพระราชกฤษฎีกาทั้งฉบับหรือยกเลิกการแปรรูปแต่บริษัท ปตท.น่าจะต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้แก่รัฐและอาจต้องเสียค่าเช่าย้อนหลังให้แ ก่รัฐ เว้นแต่มีการตราพระราชบัญญัติโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัท ปตท.

แต่ปัญหาคือ ใครจะกล้าดำเนินการเพราะเท่ากับเอาที่ดินของรัฐไปยกให้แก่บริษัทเอกชนโดยเฉพาะบริษัท ปตท.มีตระกูลนักการเมืองใหญ่ในรัฐบาลไทยรักไทยถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ตระกูลมหากิจศิริ จึงรุ่งเรืองกิจ

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น "มรดกบาป" ที่รัฐบาลไทยรักไทยก่อไว้ให้ประชาชนรับและช่วยกันเช็ดล้าง

ที่มา: มติชนออนไลน์ วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2549
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col01150449&day=2006/04/15

ข้อมูลลักษณะอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทักษิณ และพรรคพวก รวมทั้งผู้สนับสนุนไม่ยอมตอบและไม่ยอมรับผิดชอบ อยากบอกว่านี่เป็นการบริหารประเทศชาตินะครับไ่ม่ใช่บริหารธุรกิจส่วนตัวที่จะทำอะไรก็ได้ ตอนนี้มันกลายเป็นว่าทำผิดแล้วก็ไม่เป็นไรแค่แก้ให้ถูกก็พอ ถ้าจะคิดกันอย่างนี้ไม่ต้องสนใจว่ากฏหมายหรือรัฐธรรมนูญเขียนไว้ยังไงอยากทำอะไรก็ทำไปเมื่อศาลบอกว่าทำผิด ก็เอามาแก้ใหม่ก็ำพอ ก็ตะแบงกันต่อไป ถ้าคนส่วนมากอยากให้เป็นอย่างนั้น ก็คงอ้างประชาธิปไตยกันไป...

Saturday, April 01, 2006

 

ดอกไม้กำลังจะบาน


ดอกไม้ ดอกไม้จะบาน บริสุทธิ์กล้าหาญจะบานในใจ ...

วันนี้หลังจากได้คุยโทรศัพท์กับแฟนผมที่โทร.มาหาจากเมืองไทยแล้ว เนื้อเพลงนี้ก็ผุดขึ้นมาในใจผมทันที ซึ่งที่จริงเรื่องมันก็ไม่ค่อยจะตรงกับเนื้อเพลงเท่าไหร่ ทำไมถึงนึกถึงเพลงนี้ก็ไม่ทราบ

เรื่องมีอยู่ว่าแฟนผมเขาโทร. มาบอกว่าตอนนี้แม่ (แม่ยายผม) บอกว่าไม่เอาทักษิณแล้ว ที่จริงอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร สำหรับคนทั่วๆ ไปเพราะมีคนเกลียดทักษิณ กันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบ้านผม เพราะปัญหาของบ้านผมในช่วงที่ผ่านมาคือในบ้านของผม พ่อ (พ่อตา) ผม แฟนผม และ พี่ชายแฟนผม ซึ่งทุกคนรับราชการ และทุกคนมีความรู้สึกร่วมกัน คือ ไม่เอาทักษิณ

มีแม่ กับ ยายทวด ที่ชอบทักษิณ ยายทวดอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าท่านเป็นคนชอบอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ อ่านทุกวัน อ่านเกือบทุกคอลัมน์ และประกอบกับช่วงหลังๆ แฟนผมพยายามพรินท์ข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับทักษิณจากอินเทอร์เน็ตมาฝากเกือบทุกวัน ในที่สุดเมื่อไม่นานมานี้ ยายทวดก็บอกว่าไม่เอาแล้วทักษิณ มันไม่ใช่คนดีอย่างที่เขาว่าจริงๆ

เหลือแม่ยายผม แม่ชอบทักษิณ ไม่ยอมรับฟังข่าวที่ให้ร้ายทักษิณ แม่จะทะเลาะกับลูกชายซึ่งเป็นเภสัชกร อยู่บ่อยๆ ในเรื่องทักษิณ เพราะลูกชายไม่ชอบทักษิณเอามากๆ เขาอ่านหนังสือรู้ทันทักษิณ ตั้งแต่หนังสือออกมาใหม่ๆ อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ดู ASTV เป็นประจำ แต่แม่จะไม่ยอมดู ASTV เวลาทะเลาะกันก็มีการขึ้นเสียงกันบ้าง บางครั้งแม่เหลืออดแม่ก็โวยว่า “ทำไม..จะชอบทักษิณแล้วมันผิดกฏหมายตรงไหน” ซึ่งโดยส่วนมากหลังจากมีปากเสียงกันเล็กน้อยแม่ก็จะเป็นฝ่ายเงียบปล่อยให้ลูกชายหงุดหงิดต่อไป ถึงแม้แฟนผมพยายามจะพรินท์ข้อมูลมาให้แม่อ่าน เหมือนที่เอามาให้ยายทวดอ่าน แต่แม่ก็ไม่อยากอ่าน

นอกจากปัญหาในครอบครัวผมแล้ว แฟนผมยังเล่าให้ฟังว่าในที่ทำงานมีเพื่อนในแผนกเดียวกันกลุ่มหนึ่งชอบทักษิณมาก และอีกกลุ่มหนึ่งเกลียดทักษิณมากเช่นกัน มีการโต้เถีงกันอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดต่างฝ่ายต่างไม่พูดกันอีกต่อไป ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานตึงเครียดขึ้นพอสมควร ในกลุ่มคนที่ชอบทักษิณ จะไม่ยอมรับข้อมูลฟังใดๆ ในด้านร้ายของทักษิณ เพราะเห็นว่าเป็นการโจมตีใส่ร้าย เขาบอกว่าไม่เคยมีนายกคนไหนดีเท่าทักษิณ ทักษิณขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ (ซึ่งไม่เคยมีนายกคนไหนทำมาก่อน) ทักษิณทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค (ทั้งๆ ที่เป็นข้าราชการไม่จำเป็นต้องเข้า 30 บาทด้วยซ้ำ) รวมทั้งโครงการช่วยเหลือคนยากคนจนต่างๆ ก็ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำได้แบบนี้

อย่างไรก็ตามในความขัดแย้งก็มีอะไรน่ารักๆ เกิดขึ้น แฟนผมเล่าว่ามีพี่คนหนึ่งที่เป็นฝ่ายไม่เอาทักษิณ ลงทุนดาวน์โหลดหนังสือหยุดระบอบทักษิณ ของอาจารย์แก้วสรร พรินท์ออกมาแล้วควักเงินตัวเองนำไปถ่ายเอกสารประมาณร้อยชุด แล้วเอามาวางไว้ในสำนักงาน ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เพื่อล่อตาล่อใจให้ฝ่ายสนับสนุนทักษิณได้หยิบไปอ่านบ้าง แม้กระทั่งนำไปไว้ตามห้องประชาสัมพันธ์บ้าง เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ ผมเห็นว่านี่เป็นความพยายามที่น่ารัก น่านับถือของพี่แก รวมทั้งพยายามเผยแพร่ข่าวสารอื่นๆ ในทำนองนี้ด้วย ซึ่งเอกสารเหล่านี้ที่แฟนผมก็นำมาฝากยายทวด อยู่เรื่อยๆ จนเราได้ยายทวดมาเป็นพวกในที่สุด

ส่วนเรื่องจุดเปลี่ยนของแม่ยายผม เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อเย็นวันที่ 30 มีนาคม 2549 ลูกชายไม่อยู่บ้าน พ่อตาผมอยู่บ้านก็เปิดดู ASTV สงสัยแม่คงอยากจะอยู่เป็นเพื่อนพ่อ ก็เลยได้นั่งดู ASTV ไปด้วย หลังจากได้ดู ASTV ไปพอสมควรคืนนั้นแม่ก็บอกว่า ตอนนี้แม่เข้าใจแล้ว แม่จะไม่เลือกทักษิณแล้ว ตอนนี้แม่ก็เลยสามารถคุยเรื่องการเมืองร่วมกับคนอื่นๆ ที่บ้านของผมได้ อย่างสบายใจ

จริงๆ แล้วปัญหาก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว ยังเหลือคุณอาผู้หญิง และคุณอาผู้ชาย ที่อยู่บ้านตรงกันข้าม ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นข้าราชการเช่นกันอาผู้ชายเป็นนายตำรวจเกษียณอายุราชการแล้ว ทั้งคู่ชอบทักษิณ และเป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการช่วยหาเสียงให้ ไทยรักไทย ในเขตนี้ อาผู้ชายจะไม่ยอมดู ASTV จะด่าทุกคนที่ด่าทักษิณ พวกเราก็สรุปกันว่า อย่าไปคุยเรื่องนี้กับแก ซึ่งความจริงก็คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะที่สำคัญตอนนี้บ้านผมเราเข้าใจกันหมดแล้ว พูดภาษาเดียวกันได้แล้ว

ผมจึงถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ระบบประชาธิปไตยได้เติบโตในครอบครัวของผมแล้ว จากความรู้สึกนึกคิดที่ต่างกัน ซึ่งเกิดจากการได้รับข้อมูล หรือ การรับรู้ที่ไม่เท่ากัน แต่ที่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ในที่สุดจากความอดทน และความพยายามของคนในครอบครัวในการให้ข้อมูลให้เท่าเทียมกันก็สามารถเปลี่ยนมุมมองของแม่ให้มายืนอยู่ข้างเราได้ ถ้าถือว่าสังคม หรือ ประชาธิปไตยมีพื้นฐานมาจากครอบครับ ผมก็เชื่อว่าอย่างน้อยมีครอบครัวหนึ่งที่ประสบชัยชนะจากระบบทักษิณแล้ว และคงไม่ใช่เฉพาะครอบครัวผม น่าจะมีครอบครัวอื่นๆ อีกจำนวนมากที่ประสบชัยชนะ สามารถปลดแอกระบอบทักษิณออกไป และเชื่อว่าคงมีครอบอีกหลายครอบครับที่กำลังจะได้รับชัยชนะ จากการที่พวกเราทุกคนพยายามให้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ออกไปสู่สังคมอย่างต่อเนื่อง และอดทน

ผมจึงอยากให้ตัวอย่างนี้ ได้สื่อไปถึงพันธมิตร สื่อสารมวลชน และพวกเราทุกๆ คน ให้มีกำลังใจ ให้มีความเข้าใจว่ายังมีคนอีกจำนวนมาก ครอบครัวอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเหมือนเรา ไม่มีโอกาสได้ดู ASTV หรือ แม้กระทั้งได้รับข้อมูลด้านเดียวจากรายการนายกฯ พบประชาชนมาตลอดระยะเวลาห้าปี ซึ่งที่จริงเขาไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา เขาอาจจะไม่ใช่กลุ่มคนที่ฉลาดมากนัก แต่ก็คงไม่ควรเรียกว่าเขาโง่ ผมเชื่อว่าถ้าคนเหล่านี้ได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าเขาเหล่านี้แหละจะลุกขึ้นมาไล่ทักษิณ ร่วมกับพวกเราต่อไป

วันนี้พ่อตาผมได้ออกไปร่วมเดินขบวนขับไล่ทักษิณเป็นครั้งแรกด้วยครับ ทำให้ผมฮำเพลง “ดอกไม้ ดอกไม้จะบาน ...” อยู่เงียบๆ คนเดียว

This page is powered by Blogger. Isn't yours?